Introducing GPT-5: ก้าวใหม่ของ AI ที่ฉลาดและเก่งกว่าเดิม
พบกับ GPT-5 รุ่นล่าสุดจาก OpenAI ที่พัฒนา AI ให้ฉลาดขึ้น รวดเร็วขึ้น และน่าเชื่อถือมากกว่าเดิม พร้อมความสามารถ reasoning, การสร้างซอฟต์แวร์ และใช้งานฟรีผ่าน ChatGPT
เจาะลึกนวัตกรรมสร้างสรรค์โดยนักศึกษาจาก Stanford, UC Berkeley และ USC ที่ใช้ Claude AI เป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาท้าทาย ตั้งแต่ตรวจจับอาวุธนิวเคลียร์ในอวกาศจนถึงการเรียนรู้เขียนโค้ดด้วย AI
ในโลกที่เทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและการทำงานของเราอย่างรวดเร็ว คลิปวิดีโอชุดนี้จาก Anthropic ที่รวบรวมนักศึกษาจากสถาบันชั้นนำอย่าง Stanford, UC Berkeley และ USC มาเล่าเรื่องราวการสร้างสรรค์นวัตกรรมโดยใช้ Claude AI เป็นเครื่องมือหลัก กลายเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือช่วยตอบคำถาม แต่กลายเป็นพาร์ทเนอร์ที่ช่วยขับเคลื่อนความคิดสร้างสรรค์และแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนในยุคนี้ได้จริงๆ
บทความนี้จะพาเราไปดูผลงานและแนวคิดของนักศึกษาทั้งสี่คนที่แบ่งปันประสบการณ์การสร้างสรรค์โปรเจกต์ที่หลากหลาย ตั้งแต่การตรวจจับอาวุธนิวเคลียร์ในอวกาศ การเรียนรู้การเขียนโค้ดผ่าน AI ไปจนถึงระบบ AI ที่จ้างมนุษย์ทำงานในโลกจริง และแพลตฟอร์มที่จำลองทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยการตัดสินใจที่ซับซ้อน เรียกได้ว่าเป็นการเปิดหน้าต่างให้เห็นอนาคตของการใช้ AI ในมิติที่กว้างไกลและลึกซึ้งกว่าที่เคย
Isabelle นักศึกษาชั้นปีสุดท้ายจาก Stanford ที่เรียนวิศวกรรมอากาศยานและอวกาศ พร้อมกับทำวิทยานิพนธ์ด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ ได้นำเสนอโปรเจกต์ที่ดูเหมือนจะเป็นเนื้อหาในนิยายวิทยาศาสตร์ แต่กลับเป็นโจทย์ทางวิทยาศาสตร์และนโยบายจริงๆ ที่ต้องการแก้ไขในโลกปัจจุบัน
เธอเล่าว่า ตามสนธิสัญญา Outer Space Treaty ในปี 1967 ได้ห้ามการวางอาวุธนิวเคลียร์ในอวกาศอย่างชัดเจน แต่ปัญหาคือไม่มีระบบตรวจสอบหรือกลไกยืนยันการปฏิบัติตามสนธิสัญญานี้เหมือนกับที่มีในสนธิสัญญาด้านอาวุธนิวเคลียร์บนโลก เช่น START หรือ New START ที่มีการตรวจสอบภาคพื้นดินด้วยการตรวจสอบยานพาหนะและอาวุธโดยตรง
ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยีในยุค 1960s ไม่ได้เอื้อให้เราสามารถเข้าไปตรวจสอบดาวเทียมในอวกาศได้อย่างละเอียด และแม้เทคโนโลยีในปัจจุบันจะก้าวหน้าแล้ว แต่การตรวจสอบว่าดาวเทียมใดบ้างที่อาจมีอาวุธนิวเคลียร์นั้นยังคงเป็นเรื่องท้าทายอย่างมาก
สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดขึ้นเมื่อในปี 2024 รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศว่าประเมินว่ารัสเซียกำลังพัฒนายานอวกาศที่อาจบรรทุกอาวุธนิวเคลียร์ได้ ซึ่งสร้างความกังวลต่อความมั่นคงระหว่างประเทศอย่างมากและทำให้เกิดการถกเถียงในสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงวิธีจัดการกับการละเมิดสนธิสัญญาอย่างมีประสิทธิภาพ
Isabelle ตั้งคำถามวิจัยที่น่าสนใจว่า “เราสามารถทำภารกิจตรวจสอบในอวกาศได้จริงหรือไม่ โดยใช้ดาวเทียมตรวจสอบเป้าหมายดาวเทียมที่สงสัยว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ติดตั้งอยู่?”
โดยเธอเลือกใช้เทคนิคการตรวจจับด้วยรังสีเอ็กซ์ (X-ray) ที่ติดตั้งบนดาวเทียมสองลำซึ่งจะเข้าใกล้และสแกนเป้าหมายเพื่อหาสัญญาณของวัสดุฟิชชิลที่หนาแน่น ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของอาวุธนิวเคลียร์
ความท้าทายคือการที่ยังไม่มีใครเคยใช้รังสีเอ็กซ์ในอวกาศมาก่อน และต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวนสูง Isabelle จึงสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์โดยใช้ซอฟต์แวร์ Gantt4 ของ CERN ซึ่งเป็นเครื่องมือซับซ้อนสำหรับจำลองอนุภาค แต่เธอไม่ใช่นักฟิสิกส์อนุภาคและไม่เคยเขียนโค้ด C++ มาก่อนเลย
ที่น่าทึ่งคือเธอใช้ Claude AI ช่วยเขียนโค้ดและสร้างแอปพลิเคชันเดสก์ท็อปสำหรับจำลองการสแกนนี้ ซึ่งผลลัพธ์ออกมาสำเร็จและแสดงภาพรังสีเอ็กซ์ที่ระบุจุดวัสดุฟิชชิลได้อย่างชัดเจน
นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้การวิจัยระดับปริญญาตรีสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงได้ภายในเวลาที่จำกัด และยังช่วยเปิดประตูให้ Isabelle ได้รับเชิญไปบรรยายผลงานต่อเจ้าหน้าที่นโยบายที่ Pentagon และกระทรวงต่างประเทศในวอชิงตัน ดีซี
ข้อคิดที่ได้จากงานวิจัยนี้คือ ไม่มีเส้นโค้งการเรียนรู้ใดที่สูงเกินไปอีกต่อไป AI ช่วยให้เราสามารถเผชิญหน้ากับปัญหาที่ยากและสำคัญที่สุดของโลกได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีอวกาศหรือภัยคุกคามนิวเคลียร์
และที่สำคัญ เธอทิ้งท้ายด้วยคำถามที่น่าคิดสำหรับนักเรียนและนักพัฒนารุ่นใหม่ว่า “ปัญหาโลกที่ยากที่สุดที่เราคิดว่าแก้ไม่ได้ หรือเป็นวิกฤตของยุคใหม่ คืออะไร? แล้วเราจะใช้ AI ที่เพิ่งเกิดใหม่เหล่านี้ไปช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้นอย่างไรเพื่อทำให้โลกปลอดภัยขึ้น?”
ต่อจากโปรเจกต์ระดับนโยบายและเทคโนโลยีขั้นสูง Mason Arditi นักศึกษาจาก UC Berkeley เล่าถึงเส้นทางการเรียนรู้เขียนโค้ดของตัวเองที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงด้วยความช่วยเหลือของ Claude AI
เขาเปรียบเทียบวิธีเรียนรู้เขียนโปรแกรมแบบเดิมที่เริ่มจากพื้นฐานไปสู่การสร้างแอปที่ซับซ้อนทีละขั้น กับวิธีของตัวเองที่เรียกว่า “top down approach” หรือการเริ่มจากไอเดียที่เกิดขึ้นแบบไม่รู้วิธีแก้ไข จากนั้นใช้ AI สร้างซอฟต์แวร์และค่อยๆ เรียนรู้ผ่านการแก้ไขข้อผิดพลาดและทำความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย
จุดเริ่มต้นของ Mason คือความสับสนระหว่างเทอร์มินัลกับโค้ดเอดิเตอร์ เขายกตัวอย่างว่าเคยพิมพ์คำสั่งสร้างแอปในไฟล์เพจโดยตรงโดยไม่เข้าใจว่ากำลังทำอะไร แต่ด้วยการถาม AI ว่า “ทำไมถึงเกิดข้อผิดพลาดนี้” และ “ฉันควรแก้ไขอย่างไร” ทำให้เขาค่อยๆ เข้าใจและพัฒนาทักษะจนสามารถสร้างแอปที่ใช้งานได้จริง
หนึ่งในผลงานของ Mason คือ Cal GBT แอปที่ช่วยจัดตารางเรียนของมหาวิทยาลัย UC Berkeley โดยใช้ AI ช่วยค้นหาวิชาที่มีเกรดเฉลี่ยสูง หรือแสดงข้อมูลว่าชั้นเรียนใดยังมีที่นั่งว่างแบบเรียลไทม์
แอปนี้ไม่ได้จำกัดแค่การแสดงข้อมูลเท่านั้น แต่ยังสามารถตอบคำถามลึกซึ้ง เช่น “ความหมายของชีวิตคืออะไร” เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถของ AI ในการเข้าใจและประมวลผลข้อมูลที่หลากหลาย
นอกจากนี้ Mason ยังพัฒนา Get Ready แอปที่ช่วยให้เข้าใจโค้ดเบสขนาดใหญ่ด้วยการสร้างแผนผังแสดงความสัมพันธ์ระหว่างไฟล์โค้ดและคำอธิบายสั้นๆ ทำให้การเรียนรู้และทำงานกับโค้ดเป็นไปได้ง่ายขึ้น
สิ่งที่ Mason เน้นย้ำคือ Claude AI เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขาสามารถเรียนรู้และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้รวดเร็ว AI เหล่านี้ช่วยให้คำแนะนำที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย พร้อมทั้งช่วยลดความซับซ้อนของการเขียนโค้ดลงมาก
เขายังตั้งคำถามที่น่าคิดว่า “ความหมายของการรู้จักเขียนโค้ดคืออะไร?” ไม่ใช่เพียงแค่เข้าใจทุกบรรทัดโค้ด แต่หมายถึงการสร้างสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตผู้คนดีขึ้นต่างหาก
แนวทางการพัฒนาของ Mason แสดงให้เห็นถึงรูปแบบใหม่ของนักพัฒนา ที่ไม่จำเป็นต้องรู้ลึกทุกเทคนิค แต่รู้จักใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยคิดและแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้จริงและมีคุณค่า
Rohil Agarwal นักศึกษาปีหนึ่งจาก UC Berkeley นำเสนอโปรเจกต์ SideQuest ที่พลิกมุมมองการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI โดยเปลี่ยนบทบาทที่เราคุ้นเคยกันแบบเดิมๆ
ในยุคนี้ เรามักเห็นมนุษย์ใช้ AI เป็นผู้ช่วยทำงาน แต่ SideQuest กลับให้ AI เป็นผู้ว่าจ้างมนุษย์เพื่อทำงานในโลกจริงแทน
แนวคิดนี้เกิดจากการที่ AI มีข้อดีในการจัดการกับโลกดิจิทัลอย่างรวดเร็วและแม่นยำ แต่ยังไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับโลกกายภาพได้ดีเท่ามนุษย์ ดังนั้น AI จึงใช้มนุษย์เป็น “แขนขา” ในการทำงานที่ต้องใช้ความสามารถทางกายภาพ
โดย Rohil ยกตัวอย่างสถานการณ์สมมติว่า AI กำลังจัดงานแฮกกาธอนและต้องการแจกใบปลิว แต่ไม่สามารถไปติดใบปลิวเองได้ AI ก็จะส่งคำสั่งไปยังมนุษย์ที่อยู่ใกล้เคียงให้ไปติดใบปลิวและถ่ายทอดวิดีโอสดกลับมา เมื่อ AI มั่นใจว่างานเสร็จสมบูรณ์ มนุษย์คนนั้นก็จะได้รับค่าตอบแทนทันที
ระบบนี้ทำงานร่วมกับ Claude AI ที่คอยตรวจสอบและยืนยันขั้นตอนต่างๆ ผ่านวิดีโอที่ถ่ายทอดสด ทำให้เกิดระบบที่มีความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพสูง
สิ่งที่ Rohil เรียนรู้จากการสร้าง SideQuest คือ AI สามารถจัดการกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้ดีและไม่จำเป็นต้องถูกควบคุมอย่างละเอียดในทุกขั้นตอน แต่ควรออกแบบระบบที่มีการโต้ตอบระหว่างมนุษย์กับ AI อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนารวดเร็วและมีคุณภาพ
เขายังเน้นให้เราเปลี่ยนมุมมองว่า AI ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์หนึ่งในผลิตภัณฑ์ แต่ควรมองเป็นระบบที่มีปฏิสัมพันธ์และสามารถคิดวิเคราะห์ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในฐานะ “สถาปนิก” หรือ “ผู้ออกแบบระบบ” มากกว่าการเป็นผู้เขียนโค้ดเล็กๆ น้อยๆ ด้วยตัวเอง
Daniel Gao นักศึกษาคอมพิวเตอร์จาก USC นำเสนอโปรเจกต์ Claude Cortex ที่พัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการตัดสินใจที่มีความซับซ้อนและต้องการมุมมองที่หลากหลาย
เขาอธิบายว่า แม้โมเดลภาษาใหญ่ (LLM) อย่าง Claude จะเก่งในการให้คำตอบ แต่เมื่อต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ เช่น ธุรกิจ สาธารณสุข หรือการวางนโยบาย คำตอบเพียงชุดเดียวมักไม่พอ ต้องการการวิเคราะห์หลายมิติที่ครอบคลุมและลึกซึ้ง
Claude Cortex จึงถูกออกแบบให้เป็นระบบที่สร้าง “เอเจนต์” ย่อยหลายตัวทำงานพร้อมกัน โดยแต่ละเอเจนต์จะวิเคราะห์ปัญหาจากมุมมองเฉพาะและทำงานร่วมกันเพื่อสังเคราะห์คำแนะนำที่ครบถ้วนและมีคุณภาพมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ใช้ต้องการศึกษาวิธีใช้ LangGraph ระบบจะสร้างเอเจนต์สำหรับค้นหาข้อมูลในเว็บ, สรุปแนวคิดหลัก และเขียนโน้ตอธิบาย ซึ่งแต่ละเอเจนต์ทำงานแยกกันแต่สื่อสารกันได้ เหมือนทีมผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานประสานกัน
นอกจากนี้ Claude Cortex ยังมีโหมดความปลอดภัยสูง โดยเชื่อมต่อกับ AWS Bedrock เพื่อให้เหมาะกับองค์กรที่ต้องการคุ้มครองข้อมูลอย่างเข้มงวด
ด้านเทคนิค ระบบใช้ Next.js และ Tailwind สำหรับหน้าเว็บ, FastAPI และ LangGraph สำหรับจัดการเวิร์กโฟลว์ของเอเจนต์หลายตัว ส่วน Claude AI รับหน้าที่วิเคราะห์และให้เหตุผลอย่างละเอียด พร้อมความสามารถในการใช้งานเบราว์เซอร์เพื่อดึงข้อมูลเรียลไทม์
Daniel สรุปว่าการออกแบบให้เอเจนต์ส่งข้อมูลในรูปแบบที่ชัดเจน เช่น JSON ช่วยให้การสังเคราะห์ข้อมูลมีคุณภาพดีขึ้นมาก ขณะที่ระบบที่มีเอเจนต์ทำงานแบบตายตัวไม่ยืดหยุ่น จะทำให้คำตอบออกมาแคบและไม่แม่นยำเท่าที่ควร
สิ่งที่ Claude Cortex แสดงให้เห็นคือการเปลี่ยนแปลงวิธีใช้โมเดลภาษาใหญ่ จากการขอคำตอบทีละคำถาม มาเป็นการสร้างระบบวิเคราะห์แบบขนานที่ครอบคลุมและลึกซึ้ง เหมาะกับการตัดสินใจในหลายสาขา ตั้งแต่ธุรกิจจนถึงสุขภาพสาธารณะ
สิ่งที่น่าสนใจในผลงานของนักศึกษาทั้งสี่คนนี้ คือการใช้ AI ในรูปแบบที่หลากหลายและลึกซึ้งกว่าการเป็นแค่ผู้ช่วยตอบคำถามแบบเดิมๆ เราเห็นภาพของ AI ที่เป็นเครื่องมือช่วยแก้ปัญหาจริงในหลายระดับ ตั้งแต่การวิจัยระดับนโยบาย การเรียนรู้ทักษะใหม่ การสร้างระบบที่ผสมผสานมนุษย์กับ AI ไปจนถึงการสร้างระบบวิเคราะห์ข้อมูลแบบทีมผู้เชี่ยวชาญ
โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยี AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เราเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของกระบวนการเรียนรู้และการสร้างสรรค์ ที่ไม่จำเป็นต้องผ่านเส้นทางแบบดั้งเดิมอีกต่อไป แต่เป็นการเรียนรู้แบบลงมือทำจริง พร้อมกับถาม AI และแก้ไขปัญหาทีละขั้นตอนอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ความสามารถของ AI ในการทำงานร่วมกับมนุษย์และระบบอื่นๆ ยังช่วยเปิดโอกาสให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการในโลกจริง เช่น SideQuest ที่ AI จ้างมนุษย์ทำงานในโลกกายภาพ หรือ Claude Cortex ที่ช่วยสร้างการตัดสินใจที่มีหลายมิติและปลอดภัยสำหรับองค์กร
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการเป็น “นักพัฒนายุคใหม่” ไม่จำเป็นต้องเก่งเขียนโค้ดทุกบรรทัด แต่ต้องรู้จักใช้ AI เป็นพาร์ทเนอร์และสถาปนิกระบบที่ออกแบบการทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ
จากเรื่องราวและตัวอย่างที่หลากหลายนี้ เราจะเห็นว่า AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือที่เปลี่ยนเกมในวงการเทคโนโลยีและการพัฒนาอย่างแท้จริง และอนาคตของการสร้างสรรค์นวัตกรรมจะไม่ใช่เรื่องของคนเดียว แต่เป็นการทำงานร่วมกันของมนุษย์และ AI อย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ