หากพูดถึงวงการ AI ในยุคปัจจุบัน หนึ่งในผู้บุกเบิกที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากคือ ดร. Fei-Fei Li ศาสตราจารย์จาก Stanford และผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพด้าน AI อย่าง World Labs ซึ่งเป็นนักวิจัยที่ไม่เคยหยุดนิ่งในการแสวงหาความรู้และตั้งคำถามเพื่อขับเคลื่อนวงการเทคโนโลยีให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว บทความนี้จะพาไปสำรวจเรื่องราวชีวิตที่น่าทึ่งของเธอ พร้อมวิเคราะห์บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความอยากรู้อยากเห็น (Curiosity) ที่เป็นหัวใจหลักของการพัฒนา AI และนวัตกรรมในวงการนี้

ความอยากรู้อยากเห็น จุดเริ่มต้นของการเดินทาง
ดร. Li เล่าว่าความอยากรู้อยากเห็นนั้นเป็นส่วนหนึ่งของ DNA ของมนุษย์และสัตว์หลายชนิด เธอเชื่อว่าทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมกับความอยากรู้อยากเห็น และสิ่งสำคัญคือการที่เด็ก ๆ ได้รับการสนับสนุนและปกป้องความอยากรู้นั้นให้เติบโตต่อไปได้ ซึ่งในวัยเด็กของเธอ ครอบครัวและพ่อแม่ได้ช่วยรักษาไฟแห่งความสงสัยนี้ไว้ จนกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญในชีวิตนักวิทยาศาสตร์ของเธอ
แม้ความอยากรู้อยากเห็นจะดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับดร. Li มันเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกมีความสุข และเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เธอกล้าลองทำสิ่งใหม่ ๆ แม้ในช่วงเวลาที่คนอื่นมองว่าเป็นความเสี่ยงหรือไม่มั่นคง เช่น การตัดสินใจเป็นผู้ประกอบการในช่วงชีวิตที่หลายคนอาจจะเลือกความมั่นคงมากกว่า
บรรยากาศความอยากรู้อยากเห็นในวัยเด็ก
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือประสบการณ์การไปเดินตลาดขายของมือสองกับพ่อในวัย 15 ปี แม้จะเป็นกิจกรรมที่ดูธรรมดาและน่าเบื่อสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับดร. Li พ่อของเธอจะมองทุกสิ่งอย่างด้วยสายตาแห่งความสงสัยและความตื่นเต้น เช่น การสังเกตว่าถ้วยแก้วใบหนึ่งมีรูปนกฮูก หรือเครื่องมือทำสวนที่ออกแบบมาอย่างชาญฉลาดเพื่อถอนต้นไม้ได้ง่ายขึ้น นี่คือการมองโลกด้วยใจเด็กที่เปิดกว้างและพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างไม่รู้จบ
เส้นทางสู่ความสำเร็จในวงการ AI
หลังจากที่ย้ายมาอเมริกาในวัยรุ่น ดร. Li ต้องเผชิญกับความยากลำบากในฐานะครอบครัวผู้อพยพที่มีฐานะยากจน แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความขยัน เธอได้รับทุนการศึกษาที่มหาวิทยาลัย Princeton และได้เรียนรู้วิชาฟิสิกส์ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการทำงานด้าน AI ในเวลาต่อมา
เรื่องราวหนึ่งที่สะท้อนความมุ่งมั่นของเธอคือวันที่ต้องสอบวิชาในขณะที่รออยู่ข้างนอกห้องผ่าตัดเพื่อดูแลแม่ที่ป่วยหนักและต้องได้รับการผ่าตัดฉุกเฉิน ดร. Li ต้องทำหน้าที่เป็นล่ามระหว่างหมอกับแม่ และได้รับอนุญาตให้ทำข้อสอบในบริเวณโรงพยาบาลเพื่อไม่ให้เสียโอกาสทางการศึกษา
การตัดสินใจเลือกเส้นทางวิทยาศาสตร์แทนเส้นทางที่มั่นคง
หลังจากเรียนจบที่ Princeton และต่อยอดที่ Caltech ดร. Li ต้องเผชิญกับทางแยกระหว่างการรับข้อเสนองานที่มั่นคงและเงินเดือนสูงจากบริษัทที่ปรึกษาชื่อดังอย่าง McKinsey กับการเดินหน้าทำงานวิจัย AI ที่ยังไม่เป็นที่นิยมและมีความไม่แน่นอนสูงในยุคนั้นซึ่งเรียกว่า AI Winter
แม้จะมีความกังวลเรื่องความมั่นคงทางการเงินและสุขภาพของแม่ที่ทรุดโทรม แต่คำแนะนำจากแม่ที่บอกให้เธอ "ทำในสิ่งที่รัก" กลับเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เธอเลือกเส้นทางวิทยาศาสตร์อย่างเต็มตัว ซึ่งสะท้อนถึงความรักและการเสียสละของแม่ที่มองเห็นความสุขและศักยภาพในตัวลูกมากกว่าความลำบากในปัจจุบัน
ImageNet: โครงการที่เปลี่ยนวงการ AI
หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นที่สุดของดร. Li คือการสร้าง ImageNet ฐานข้อมูลภาพขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยภาพกว่า 15 ล้านภาพ พร้อมป้ายกำกับที่ถูกคัดกรองอย่างละเอียดครอบคลุมหมวดหมู่วัตถุกว่า 22,000 หมวดหมู่ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการเทรน AI ในด้านการประมวลผลภาพและการรู้จำวัตถุ
ก่อน ImageNet แนวคิดเรื่อง Big Data ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย การทำ AI มักใช้ข้อมูลขนาดเล็กและไม่เพียงพอในการฝึกฝน ทำให้โมเดล AI ไม่สามารถเรียนรู้และทั่วไปได้ดี ImageNet ได้สร้างมาตรฐานใหม่ที่ทำให้วงการ AI ก้าวเข้าสู่ยุคของการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่และหลากหลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาโมเดลให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
Big Data และการเทรน AI
ปัจจุบันการทำ AI ต้องอาศัยองค์ประกอบหลักสามอย่างคือ
- GPU: ฮาร์ดแวร์สำหรับประมวลผลข้อมูลจำนวนมากอย่างรวดเร็ว
- อัลกอริทึมเครือข่ายประสาทเทียม (Neural Networks): โครงสร้างที่ช่วยให้ AI เรียนรู้รูปแบบจากข้อมูล
- ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data): แหล่งข้อมูลหลากหลายและจำนวนมากที่ช่วยให้ AI สามารถเรียนรู้และทั่วไปได้ดี
ImageNet เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่ทำให้แนวคิด Big Data กลายเป็นมาตรฐานในวงการ AI และเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติ Deep Learning ที่เปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในหลายด้านตั้งแต่นั้นมา
ความสำคัญของงานวิจัยในมหาวิทยาลัยและการสนับสนุนจากภาครัฐ
ดร. Li เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของงานวิจัยในมหาวิทยาลัยที่เป็นพื้นที่ให้ความอิสระในการสำรวจและทดลองแนวคิดใหม่ ๆ โดยไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเป้าหมายทางการค้าเหมือนงานวิจัยในภาคเอกชน
ความอิสระนี้ทำให้เกิดการวิจัยที่ขับเคลื่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็น (Curiosity-driven Research) ซึ่งเป็นหัวใจของนวัตกรรมและการค้นพบที่ไม่คาดคิดมาก่อน งานวิจัยในมหาวิทยาลัยยังเป็นแหล่งสร้างนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญรุ่นใหม่ที่พร้อมจะนำความรู้ไปต่อยอดในวงการอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี
Curiosity-driven Research คืออะไร?
ความหมายของการวิจัยขับเคลื่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็น คือการที่นักวิจัยมีอิสระในการเลือกหัวข้อและวิธีการทำงานโดยไม่ถูกบังคับให้ต้องตอบโจทย์ทางธุรกิจหรือเป้าหมายการตลาดทันที แต่สามารถทดลองและค้นหาคำตอบในสิ่งที่ยังไม่รู้หรือยังไม่มีใครทำมาก่อนได้
แม้ว่าบางครั้งแนวคิดเหล่านี้อาจถูกมองว่าเสี่ยงหรือไม่คุ้มค่าในเชิงธุรกิจ แต่ในระยะยาวกลับเป็นแหล่งกำเนิดนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกได้จริง
บทบาทของงบประมาณวิจัยจากภาครัฐและภาคเอกชน
ดร. Li ยกตัวอย่างว่าการสนับสนุนจาก National Science Foundation (NSF), Office of Naval Research (ONR) รวมถึงการร่วมมือและสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น Microsoft, Google, Amazon และ Nvidia มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้โครงการวิจัยต่าง ๆ สามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
การสนับสนุนนี้ไม่ได้จำกัดเพียงเงินทุนเท่านั้น แต่รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรม ที่ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และต่อยอดเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว
การผสมผสานบทบาทนักวิจัยและผู้ประกอบการในยุค AI
ในยุคที่เทคโนโลยี AI ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ดร. Li เลือกก้าวเข้าสู่บทบาทผู้ประกอบการควบคู่ไปกับการเป็นนักวิจัย เพื่อขยายขอบเขตการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปใช้จริง โดยเฉพาะในโครงการ World Labs ที่มุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยี Spatial Intelligence หรือความสามารถในการเข้าใจและสร้างโลกสามมิติที่โต้ตอบได้
Spatial Intelligence เป็นเทคโนโลยีที่ผสมผสาน Deep Learning, Computer Vision และ Computer Graphics เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ เช่น การสร้างโลกเสมือนจริงที่ผู้ใช้สามารถโต้ตอบและสร้างสรรค์ได้อย่างอิสระ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของ AI ที่จะส่งผลต่อด้านความบันเทิง การศึกษา และการทำงานในอนาคต
ความยืดหยุ่นในระบบนวัตกรรมของอเมริกา
ดร. Li ชื่นชมระบบนวัตกรรมของสหรัฐฯ ที่เปิดโอกาสให้นักวิจัยสามารถสลับบทบาทระหว่างงานวิจัยในมหาวิทยาลัยและงานในภาคเอกชนได้อย่างอิสระ โดยไม่มีการจำกัดกรอบตายตัว ส่งผลให้เกิดการไหลเวียนของความรู้และความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง
บทบาทของงานวิจัยพื้นฐานและคำแนะนำต่อผู้กำหนดนโยบาย
เมื่อพูดถึงการจัดสรรงบประมาณวิจัย ดร. Li เน้นย้ำว่าการลงทุนในงานวิจัยพื้นฐานและมหาวิทยาลัยเป็นทรัพย์สินเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันและนวัตกรรมของประเทศ
เธอแนะนำว่าผู้กำหนดนโยบายควรเห็นความสำคัญของระบบนิเวศนวัตกรรมที่ประกอบด้วยภาควิชาการ ภาครัฐ และภาคเอกชน ที่ทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืนเพื่อสร้างเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงโลกได้
นอกจากนี้ งานวิจัยในมหาวิทยาลัยยังเป็นพื้นที่สำหรับการถกเถียงและวิเคราะห์ปัญหาที่ซับซ้อนอย่างรอบด้าน ซึ่งช่วยให้สังคมได้ผลักดันขอบเขตความรู้ไปข้างหน้าอย่างมีเหตุผลและมีจริยธรรม
บทเรียนจากชีวิตและผลงานของ Fei-Fei Li
เรื่องราวของดร. Li คือบทพิสูจน์ว่าความอยากรู้อยากเห็นและความมุ่งมั่นสามารถนำพาชีวิตและวงการวิทยาศาสตร์ไปสู่ระดับโลกได้ แม้จะเริ่มต้นจากครอบครัวผู้อพยพที่ฐานะยากจนในนิวเจอร์ซีย์ เธอได้รับโอกาสจากทุนการศึกษาที่มหาวิทยาลัยชั้นนำ และผ่านความยากลำบากในการดูแลแม่ที่ป่วยหนักแต่ไม่ทิ้งความฝันในการเป็นนักวิทยาศาสตร์
ความกล้าที่จะมองเห็นโอกาสในช่วง AI Winter และริเริ่มโครงการ ImageNet ที่ปฏิวัติวงการ AI คืออีกหนึ่งบทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าการวิจัยที่ขับเคลื่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็นและการสนับสนุนจากระบบนิเวศนวัตกรรมที่แข็งแกร่งสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้จริง
เทคโนโลยี AI กับมนุษยธรรม
ดร. Li ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนา AI ที่คำนึงถึงคุณค่าของมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เพื่อให้เทคโนโลยีช่วยเสริมสร้างชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่การแข่งขันทางธุรกิจหรือเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว
ศัพท์เทคนิคที่ควรรู้ในบทความนี้
- AI (Artificial Intelligence): ปัญญาประดิษฐ์ คือเทคโนโลยีที่ทำให้เครื่องจักรสามารถเรียนรู้และทำงานที่ต้องใช้ความคิดเหมือนมนุษย์
- Big Data: ข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีปริมาณและความหลากหลายสูง ซึ่งจำเป็นสำหรับการเทรน AI ให้มีประสิทธิภาพ
- Deep Learning: เทคนิคการเรียนรู้ของ AI ที่ใช้โครงข่ายประสาทเทียมหลายชั้นเพื่อเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมาก
- GPU (Graphics Processing Unit): หน่วยประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูงในการจัดการข้อมูลจำนวนมากและซับซ้อน เช่น การเทรน AI
- ImageNet: ฐานข้อมูลภาพขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับเทรน AI ในด้านการรู้จำและประมวลผลภาพ
- Curiosity-driven Research: การวิจัยที่ขับเคลื่อนด้วยความอยากรู้และการตั้งคำถาม โดยไม่ถูกจำกัดด้วยเป้าหมายทางธุรกิจ
- Spatial Intelligence: ความสามารถของ AI ในการเข้าใจและสร้างโลกสามมิติที่โต้ตอบได้
บทสรุปจาก Insiderly
ความอยากรู้อยากเห็นของ ดร. Fei-Fei Li แสดงให้เห็นถึงพลังขับเคลื่อนนวัตกรรม AI ที่ต้องอาศัยระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง ทั้งมหาวิทยาลัยที่เปิดกว้าง, งานวิจัยที่เน้นความอยากรู้ (Curiosity-driven Research), และการสนับสนุนทางการเงินที่สมดุล
ImageNet เป็นตัวอย่างงานวิจัยจากความสงสัยที่กลายเป็นรากฐาน AI สมัยใหม่ เช่น GPT
การสลับบทบาทระหว่างวิชาการ, เอกชน และผู้ประกอบการ ช่วยสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์จริง
การลงทุนในงานวิจัยพื้นฐานและระบบนิเวศนวัตกรรมสำคัญต่อความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี การรักษาความอยากรู้อยากเห็นและส่งเสริมงานวิจัยที่เปิดกว้างคือกุญแจสู่ AI ที่ฉลาดและมีคุณค่าต่อสังคม