Source : GettyImages

หลายคนอาจยังติดภาพ Palantir (พาลันเทียร์) ว่าเป็นบริษัทเทคโนโลยีลึกลับที่ทำงานให้กับหน่วยงานข่าวกรองและกองทัพ แต่ภาพนั้นกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ข้อมูลล่าสุดเผยให้เห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดในฝั่งลูกค้าเอกชน โดยเฉพาะในสหรัฐฯ นี่คือสัญญาณชัดเจนว่า Palantir ได้สลัดคราบจากบริษัทที่ปรึกษาเฉพาะทาง มาสู่การเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ที่พร้อมขยายสเกลอย่างแท้จริง

หัวใจสำคัญที่ทำให้ Palantir แตกต่าง ไม่ใช่แค่การวิเคราะห์ข้อมูล แต่คือการสร้าง "ระบบปฏิบัติการ (Operating System)" สำหรับการตัดสินใจในองค์กรยุคใหม่ทั้งหมด และ AI Platform (AIP) คือหัวหอกสำคัญในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เรามาเจาะดูกันว่าทำไม Palantir ถึงกำลังกลายเป็นผู้เล่นที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งในสมรภูมิ AI

ถอดรหัส 4 แพลตฟอร์ม: ทำไม Palantir ถึงไม่ใช่แค่เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล

หัวใจของธุรกิจ Palantir คือชุดซอฟต์แวร์ 4 ตัวที่ทำงานประสานกันเป็นระบบนิเวศเดียว เพื่อสร้างแพลตฟอร์มครบวงจรสำหรับการตัดสินใจ

  1. Palantir Gotham: นี่คือแพลตฟอร์มดั้งเดิมที่สร้างชื่อเสียงให้บริษัท ถูกออกแบบมาเพื่อลูกค้าภาครัฐ หน่วยงานข่าวกรอง และการป้องกันประเทศโดยเฉพาะ หน้าที่หลักคือการหลอมรวมข้อมูลที่กระจัดกระจายและไม่มีโครงสร้าง (เช่น ข้อมูลข่าวกรอง, สัญญาณ, รายงานภาคสนาม) เพื่อค้นหาภัยคุกคามหรือเครือข่ายที่ซ่อนอยู่

  2. Palantir Foundry: นี่คือ "ระบบปฏิบัติการสำหรับองค์กรยุคใหม่" ที่เป็นเรือธงสำหรับภาคเอกชน Foundry ทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลที่อยู่ตามไซโลต่างๆ ทั่วทั้งองค์กร (เช่น ระบบ ERP, CRM, เซ็นเซอร์ IoT) แล้วนำมาสร้างเป็นแบบจำลองดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันทั้งหมด ทำให้ผู้ใช้งานตั้งแต่ผู้บริหารไปจนถึงพนักงานหน้างาน สามารถเข้าถึงและใช้ข้อมูลในการตัดสินใจได้จริง

  3. Palantir Apollo: ตัวนี้คือฮีโร่ปิดทองหลังพระ Apollo คือระบบที่ทำหน้าที่บริหารจัดการและอัปเดตซอฟต์แวร์ (ทั้ง Gotham และ Foundry) ในทุกสภาพแวดล้อมของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นบนคลาวด์สาธารณะ เครือข่ายลับเฉพาะของรัฐบาล หรือแม้กระทั่งบนอุปกรณ์ปลายทางที่ตัดขาดจากอินเทอร์เน็ต (เช่น เรือดำน้ำ หรือรถทหาร) Apollo คือสิ่งที่ทำให้ Palantir สามารถให้บริการแบบ SaaS (Software-as-a-Service) ที่ปลอดภัยและอัปเดตต่อเนื่องได้จริง แม้ในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนที่สุด

  4. Palantir AIP (Artificial Intelligence Platform): นี่คือแพลตฟอร์มชั้นล่าสุดและมีความสำคัญทางกลยุทธ์ที่สุด AIP ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโมเดล AI (เช่น LLMs) กับข้อมูลส่วนตัวขององค์กรที่อยู่ใน Foundry หรือ Gotham ได้อย่างปลอดภัย มันไม่ใช่แค่ Chatbot ไว้ถามตอบ แต่มีเครื่องมือให้สร้าง "AI Agents" ที่สามารถลงมือ "ปฏิบัติงาน" ในโลกจริงได้ เช่น สั่งซื้อของ, ปรับแผนการผลิต หรือแจ้งเตือนความเสี่ยง

"Ontology": อาวุธลับที่คู่แข่งลอกเลียนแบบได้ยาก

สิ่งที่ทำให้ Palantir แตกต่างจากคู่แข่งอย่างแท้จริงคือแนวคิดที่เรียกว่า "Ontology" (ออนโทโลยี)

ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ Ontology ไม่ใช่แค่แบบจำลองข้อมูล (Data Model) แต่มันคือ "Digital Twin" (ฝาแฝดดิจิทัล) ที่มีชีวิต ของทั้งองค์กร มันคือการจำลองสินทรัพย์ทั้งหมด (เช่น โรงงาน, ผลิตภัณฑ์, ลูกค้า, ซัพพลายเออร์) ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเหล่านั้น และการกระทำ (Actions) ที่สามารถเกิดขึ้นได้

Ontology ทำหน้าที่เป็น "ชั้นของความหมาย" (Semantic Layer) ที่แปลข้อมูลดิบที่ซับซ้อน ให้กลายเป็นภาษาที่ทั้งมนุษย์และ AI สามารถเข้าใจบริบทได้เหมือนกัน นี่คือรากฐานที่ทำให้ AI ใน AIP สามารถเข้าใจคำสั่งที่ซับซ้อนและลงมือทำงานได้จริง เพราะมัน "เข้าใจ" ธุรกิจของคุณ ไม่ใช่แค่ "เห็น" ข้อมูล

กลยุทธ์ "Acquire, Expand, Scale": เล่นเกมยาวที่ยอมขาดทุนในตอนแรก

โมเดลการเข้าสู่ตลาดของ Palantir ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สะท้อนว่าทำไมในอดีตถึงดูเป็นของแพงและเข้าถึงยาก โมเดลนี้แบ่งเป็น 3 ระยะ:

  1. Acquire (การได้มาซึ่งลูกค้า): ในระยะแรก Palantir จะเข้าไปแก้ปัญหาที่ยากและซับซ้อนที่สุดของลูกค้า โดยมักจะยอมแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในโครงการนำร่อง (Pilot Project) เพื่อพิสูจน์คุณค่าของแพลตฟอร์ม ในระยะนี้บริษัทอาจจะขาดทุนกับลูกค้ารายนี้

  2. Expand (การขยายผล): เมื่อโครงการนำร่องสำเร็จ ลูกค้าเห็นคุณค่าชัดเจน Palantir จะขยายการใช้งานไปยังส่วนอื่นๆ ขององค์กร เชื่อมต่อข้อมูลมากขึ้น สร้าง Use Case ใหม่ๆ

  3. Scale (การขยายขนาด): เมื่อแพลตฟอร์มถูกฝังลึกในกระบวนการทำงานหลักจนขาดไม่ได้ สัญญาจะมีมูลค่าสูงขึ้นและยาวนานขึ้น ในระยะนี้เองที่ Palantir จะทำกำไรมหาศาลจากลูกค้ารายนั้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมลูกค้ารายใหญ่ๆ ถึงจ่ายเงินให้ Palantir ปีละหลายสิบล้านดอลลาร์

เจาะการเงินและลูกค้า: เครื่องยนต์ AI ภาคเอกชนกำลังติดไฟ

ตัวเลขไม่เคยโกหใคร ผลประกอบการล่าสุด (ปีงบประมาณ 2024) แสดงให้เห็นว่า Palantir แข็งแกร่งมาก มีรายได้รวม 2.87 พันล้านดอลลาร์ (โต 29%) และที่สำคัญคือ มีกำไรตามมาตรฐานบัญชี GAAP แล้ว

แต่ตัวเลขที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือการเติบโตของ กลุ่มลูกค้าภาคเอกชนในสหรัฐฯ ที่รายได้ตลอดทั้งปีโตถึง 54% และเร่งตัวขึ้นเป็น 64% ในไตรมาสสุดท้าย นี่คือเครื่องยนต์การเติบโตหลักที่พิสูจน์ว่ากลยุทธ์การบุกตลาดเอกชนนั้นมาถูกทาง

คุณค่าที่ Palantir สร้างให้ลูกค้านั้นวัดผลได้จริง:

  • Airbus (การผลิต): ใช้ Foundry บูรณาการข้อมูลการผลิต ทำให้เร่งการผลิตเครื่องบิน A350 ได้เร็วขึ้น 33% และช่วยประหยัดต้นทุนได้มหาศาล

  • General Mills (สินค้าอุปโภคบริโภค): นำไปใช้ในซัพพลายเชนบางส่วน ช่วยประหยัดต้นทุนได้เฉลี่ย 40,000 ดอลลาร์ต่อวัน

  • SOMPO JAPAN (การเงิน): ใช้แพลตฟอร์มเพื่อปรับปรุงการทำกำไร สร้างกำไรเพิ่มขึ้น 60 ล้านดอลลาร์ใน 3 ปี

  • CAZ Investments (การเงิน): ใช้ AIP ประมวลผลข้อมูลผู้สนใจลงทุน สามารถประมวลผลได้มากขึ้น 100 เท่า โดยใช้ทรัพยากรเท่าเดิม และลดเวลาทำงานลง 90%

Palantir vs. Snowflake vs. Databricks: สงครามนี้ใครอยู่ตรงไหน?

นี่คือคำถามที่หลายคนสับสน เรามองว่าการเปรียบเทียบนี้มักจะผิดฝาผิดตัว

  • Snowflake คือ "คลังข้อมูล" (Data Warehouse) ที่ดีที่สุด เหมาะสำหรับการจัดเก็บและสืบค้นข้อมูลที่มีโครงสร้าง (Structured Data)

  • Databricks คือ "เวิร์กช็อปสำหรับนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล" (ML Workshop) ที่ดีที่สุด เหมาะสำหรับการสร้าง ทดลอง และฝึกฝนโมเดล AI/ML

  • Palantir คือ "หอควบคุมและสายการผลิต" (Control Tower & Factory Floor)

Palantir ไม่ได้มาเพื่อแทนที่สองเจ้านี้ แต่มาเพื่อเป็น "ชั้นของการประสานงานและการนำไปใช้ปฏิบัติ" (Orchestration and Operationalization Layer) ที่อยู่เหนือระบบเหล่านั้น

พูดง่ายๆ คือ องค์กรอาจใช้ Snowflake เก็บข้อมูล, ใช้ Databricks สร้างโมเดล แต่ใช้ Palantir Foundry เพื่อนำข้อมูลและโมเดลนั้นมา "ใช้งานจริง" ในการตัดสินใจเชิงปฏิบัติการแบบเรียลไทม์ เชื่อมต่อกับพนักงานหน้างาน และขับเคลื่อนการกระทำ นี่คือจุดแข็งที่ Palantior มีเหนือกว่าใคร โดยเฉพาะการจัดการข้อมูลที่ "ยุ่งเหยิง" (Messy Data) และความปลอดภัยระดับสูงสุดที่ติดตัวมาจากงานฝั่งรัฐบาล

AIP Bootcamps: กลยุทธ์เปลี่ยนเกมเจาะตลาดองค์กร

Palantir แก้จุดอ่อนเรื่อง "ความแพงและซับซ้อน" ในอดีตด้วยกลยุทธ์ใหม่ที่เรียกว่า "AIP Bootcamps"

แทนที่จะใช้เวลานำเสนอขายกันหลายเดือน Palantir ใช้วิธีจัดเวิร์กชอปแบบเร่งรัด ให้ลูกค้าขนข้อมูลจริงของตัวเองมา แล้วสร้างเวิร์กโฟลว์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ให้เห็นผลลัพธ์ภายในเวลาไม่กี่วัน หรือไม่กี่ชั่วโมง วิธีนี้ช่วยลดเวลาในการสร้างคุณค่า (Time to Value) ลงมหาศาล และเปลี่ยนบทสนทนาจากการ "ขาย" ไปสู่การ "ลงมือทำจริง" ซึ่งได้ผลดีมากในการเจาะตลาดองค์กรที่ต้องการเห็นผลลัพธ์เร็ว

คำศัพท์เฉพาะทางเพิ่มเติม

  • Ontology (ออนโทโลยี): ไม่ใช่แค่ฐานข้อมูล แต่คือ "แบบจำลองดิจิทัล" ที่มีชีวิตของทั้งองค์กร เปรียบเหมือนแผนที่ที่เชื่อมโยงทุกสิ่งในบริษัท (คน, ของ, สถานที่, กระบวนการ) เข้าด้วยกัน ทำให้ AI เข้าใจ "บริบท" การทำงานของธุรกิจ

  • AIP (Artificial Intelligence Platform): แพลตฟอร์มล่าสุดของ Palantir ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อโมเดล AI (เช่น LLMs) เข้ากับข้อมูลส่วนตัวขององค์กร (ที่อยู่ใน Ontology) อย่างปลอดภัย เพื่อสร้าง Agent ที่สามารถปฏิบัติงานได้จริง ไม่ใช่แค่ตอบคำถาม

  • Apollo: ระบบจัดการซอฟต์แวร์เบื้องหลัง ที่ช่วยให้ Palantir สามารถส่งมอบและอัปเดตแพลตฟอร์ม (Foundry/Gotham) ให้ลูกค้าได้อัตโนมัติ แม้ในสภาพแวดล้อมที่ตัดขาดจากอินเทอร์เน็ตหรือมีความปลอดภัยสูง

  • SaaS (Software-as-a-Service): รูปแบบการให้บริการซอฟต์แวร์แบบเช่าใช้ (Subscription) ผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่ง Apollo คือกุญแจที่ทำให้ Palantir ทำ SaaS ในตลาดที่ซับซ้อนอย่างภาครัฐหรือการทหารได้

บทวิเคราะห์จาก Insiderly

  • Palantir คือการเดิมพันกับ "ความเหนียวแน่น": จุดแข็งที่สุดของ Palantir คือการเป็น "ระบบปฏิบัติการ" ไม่ใช่แค่ "แอปพลิเคชัน" เมื่อองค์กรใดนำ Ontology ของ Foundry ไปใช้เป็นแกนกลางของการดำเนินงานแล้ว การจะย้ายออกไปใช้ระบบอื่นนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ นี่คือคูเมือง (Moat) ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง

  • การเติบโตภาคเอกชนคือของจริง: ตัวเลขการเติบโตของลูกค้าเอกชนในสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงถึง 54% เป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดว่า ตลาดองค์กรเริ่ม "เข้าใจ" แล้วว่า Palantir ทำอะไรได้ และยอมจ่ายเพื่อแลกกับผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ชัดเจน กลยุทธ์ AIP Bootcamps กำลังทำงานได้ผลดี

  • คู่แข่งคือพันธมิตร: เราไม่ควรมอง Palantir เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Snowflake หรือ Databricks เสมอไป ในความเป็นจริง องค์กรจำนวนมากใช้ทั้งสามระบบร่วมกัน Palantir กำลังสร้างตลาดใหม่คือ "ชั้นปฏิบัติการ AI" (AI Operationalization Layer) ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มากและยังไม่มีผู้เล่นที่ชัดเจน

  • ความเสี่ยงด้านจริยธรรมยังคงอยู่: พลังของเทคโนโลยีนี้มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่หลวง ภาพลักษณ์ด้านลบจากการทำงานกับหน่วยงานรัฐบาลเรื่องการสอดแนมยังคงเป็นความเสี่ยง แม้บริษัทจะพยายามย้ำว่ามนุษย์ต้องเป็นผู้ควบคุมการตัดสินใจสำคัญเสมอ แต่ประเด็นนี้จะยังคงเป็นเงาตามตัวบริษัทต่อไป

  • เปลี่ยนเกมการแข่งขันสู่ "ความเร็วในการตัดสินใจ": ผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดคือการเปลี่ยนนิยามของความได้เปรียบทางการแข่งขัน ในอนาคต การ "มีข้อมูล" จะไม่สำคัญเท่า "ความสามารถในการตัดสินใจและลงมือทำจากข้อมูล" (Decision Velocity) องค์กรที่ไม่มีระบบปฏิบัติการที่ขับเคลื่อนด้วย AI แบบนี้ จะเคลื่อนไหวได้ช้ากว่าคู่แข่ง และนั่นคือความเสี่ยงที่แท้จริงในยุคต่อไป

Reply

or to participate

Recommended for you

No posts found