แผ่นดินไหว เป็นภัยธรรมชาติที่เราแทบจะคาดเดาอะไรไม่ได้เลย แต่กลับสร้างความเสียหายรุนแรงทั้งชีวิตและทรัพย์สินได้ในพริบตา

แต่รู้ไหมครับว่า ในยุคที่ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence - AI) ฉลาดขึ้นทุกวัน เทคโนโลยีนี้กำลังเข้ามาเปลี่ยนวิธีที่เรารับมือกับแผ่นดินไหวไปอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยทำได้แค่รอให้เกิดเหตุแล้วค่อยแก้ไข ตอนนี้ AI กำลังช่วยให้เรา 'ตั้งรับเชิงรุก' ได้อย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน

ผมก็เป็นหนึ่งในผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว วิ่งหนีตายออกจากตึกสูงเช่นเดียวกับอีกหลายคน ในบ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 และด้วยความอยากรู้ อยากเห็น ในฐานะที่ทำงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง AI เลยลองค้นคว้าเพิ่มเติมดูว่า AI มันมีประโยชน์และช่วยอะไรเกี่ยวกับภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวได้บ้าง

บทความนี้จะพาไปดูเคสจริงจากทั่วโลกว่า AI ไม่ใช่แค่ตัวช่วยเสริม แต่กำลังกลายเป็น 'หัวใจ' สำคัญในการปกป้องเราจากภัยพิบัติครั้งใหญ่นี้ได้อย่างไร

1. ดวงตาดิจิทัล: AI ส่องความเสียหายหลังแผ่นดินไหว

ลองนึกภาพตามนะครับ แผ่นดินไหวใหญ่เพิ่งสงบลง สิ่งแรกที่ต้องรู้คือ 'เสียหายแค่ไหน' เพื่อจะได้รีบส่งความช่วยเหลือไปให้ถูกจุด นี่แหละครับคือสิ่งที่ AI เก่ง

ระบบประเมินความเสียหายยุคใหม่ใช้สิ่งที่เรียกว่า โครงข่ายประสาทเทียมแบบคอนโวลูชัน (Convolutional Neural Network - CNN) ซึ่งมีความสามารถสูงในการวิเคราะห์ภาพ (Image Analysis)

ทำงานคล้ายๆ 'ดวงตาดิจิทัล' อัจฉริยะ มันสแกนภาพถ่ายดาวเทียมหรือภาพทางอากาศ แล้วชี้เป้าความเสียหายของตึก ถนน หรือแม้แต่ร่องรอยดินถล่มได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมาก

  • ที่ฮิโรชิม่า ญี่ปุ่น: นักวิจัยที่นี่สร้างโมเดล CNN ที่ 'มอง' ภาพทางอากาศแล้วบอกได้ว่าตึกไหนพัง เสียหายมากน้อยแค่ไหน แม่นยำถึง 94% แถมใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที! เร็วกว่าคนไปเดินสำรวจเยอะ แค่ 24 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ ก็พอมีข้อมูลคร่าวๆ ให้ทีมกู้ภัยตัดสินใจได้แล้ว

  • ที่ฮอกไกโด ญี่ปุ่น (2018): หลังแผ่นดินไหวครั้งนั้น มีการใช้ AI ช่วยหาจุดดินถล่ม (Landslide Detection) จากภาพดาวเทียมได้ใน 5 นาที! แม่นยำพอๆ กับตาคน (93%) แต่เร็วกว่าเดิมถึง 5 วัน

  • แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ตุรกี-ซีเรีย (2023): เหตุการณ์สะเทือนใจครั้งนั้น AI เข้ามามีบทบาทสำคัญจริงๆ ครับ ระบบวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมจากโครงการ xView2 ช่วยสร้างแผนที่ความเสียหาย (Damage Mapping) ได้เร็วมาก ทำให้ทีมกู้ภัยรู้ว่าต้องพุ่งไปที่ไหนก่อน ช่วยประเมินความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อวางแผนช่วยเหลือและฟื้นฟูได้อย่างตรงจุด

    • โครงการนี้ใช้เทคนิคที่ซับซ้อนขึ้นอย่าง การแบ่งส่วนภาพเชิงความหมาย (Semantic Segmentation) แยกแยะความเสียหายละเอียดถึง 4 ระดับ (No Damage, Minor Damage, Major Damage, Destroyed) ทำให้งานที่เคยใช้เวลาเป็นวันๆ เหลือแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

    • โครงการ xView2 เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (ผ่านหน่วย Defense Innovation Unit) มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon (ผ่าน Software Engineering Institute) และยังได้รับการสนับสนุนจากหลายพันธมิตร เช่น Microsoft AI for Good Lab, Berkeley AI Research (BAIR) และ Maxar Technologies ที่ให้ข้อมูลภาพถ่ายและสนับสนุนด้านเทคโนโลยี AI

    • โครงการนี้เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ปี 2019 เพื่อพัฒนาระบบ AI สำหรับประเมินความเสียหายจากภาพถ่ายดาวเทียมโดยเฉพาะ

Islahiye, Turkey - รูปถ่ายจากดาวเทียมโดยบริษัท Maxar Technologies  (ซ้าย) และรูปจาก xView2โดย UC Berkeley/Defense Innovation Unit/Microsoft (ขวา)

(ที่มา : MIT Technology Review)

AI จึงมีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้ระบบประเมินความเสียหายหลังเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ (Damage Assessment Systems) ทำงานได้ฉลาดมากขึ้น

2. เสียงเตือนจาก AI: ผู้พิทักษ์ก่อนภัยมาถึง

ถ้าการประเมินความเสียหายคือการ 'ตั้งรับ' ระบบเตือนภัยล่วงหน้า หรือ Early Warning Systems ก็เปรียบเหมือน 'ผู้พิทักษ์ชีวิต' ด่านหน้าเลยครับ

AI ในระบบนี้ทำหน้าที่เหมือนหูทิพย์ คอย 'ฟัง' สัญญาณแรกสุดของแผ่นดินไหว (คือ คลื่นปฐมภูมิ หรือ P-wave) ซึ่งเดินทางเร็วกว่า คลื่นทุติยภูมิ (S-wave) และ คลื่นพื้นผิว (Surface Waves) ที่เป็นตัวการสร้างความเสียหายรุนแรง พอจับสัญญาณได้ปุ๊บ ระบบ AI จะรีบคำนวณตำแหน่งศูนย์กลาง (Epicenter), ขนาด (Magnitude) และพื้นที่เสี่ยง แล้วส่งเสียงเตือนทันที

  • ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดคือระบบ ShakeAlert (Earthquake Early Warning - EEW) ที่ใช้กันแถบชายฝั่งตะวันตกของอเมริกา ระบบนี้ใช้ เซ็นเซอร์ตรวจวัดความสั่นสะเทือน (Seismic Sensors) นับพันตัวทำงานร่วมกับ AI พอตรวจเจอ P-wave ปุ๊บ ก็ส่งสัญญาณเตือนไปยังโรงเรียน โรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งสั่งการระบบอัตโนมัติให้ทำงาน เช่น หยุดรถไฟ ตัดไฟในจุดเสี่ยง หรือเปิดประตูโรงรถสถานีดับเพลิงให้พร้อม!

  • เวลาแค่ไม่กี่วินาทีก่อนการสั่นสะเทือนรุนแรงจะมาถึง อาจหมายถึงชีวิตคนจำนวนมากที่รอดปลอดภัย หรือความเสียหายที่ลดลงได้อย่างมหาศาล (ส่วนเรื่องความแม่นยำในการทำนายล่วงหน้าเป็นสัปดาห์นั้น เป็นอีกส่วนของการวิจัยที่ซับซ้อนกว่า หน้าที่หลักของ ShakeAlert คือการเตือน ทันที หลังตรวจพบ)

3. ถอดรหัสแผ่นดินไหว: เมื่อ AI อ่านใจโลก

ข้อมูลคลื่นไหวสะเทือน (Seismic Data) มันซับซ้อนครับ การวิเคราะห์แบบเดิมๆ อาจมองข้ามสัญญาณสำคัญไป

แต่ AI โดยเฉพาะเทคนิค Machine Learning (ML) ที่เก่งเรื่องการหา 'รูปแบบ' (Patterns) ที่ซ่อนอยู่ กำลังเข้ามาช่วย 'ถอดรหัส' ข้อมูลพวกนี้ได้ลึกซึ้งขึ้น

มันช่วยให้นักวิทยาศาสตร์มองเห็นสัญญาณบอกเหตุล่วงหน้า (Precursor Signals) ที่อาจซ่อนอยู่ ทำนายรูปแบบการเกิด หรือแม้แต่ใช้ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นอย่าง เรดาร์ช่องรับแสงสังเคราะห์ (Synthetic Aperture Radar - SAR) หรือโดรนติดเซ็นเซอร์เพื่อสร้างแผนที่แผ่นดินไหวที่ละเอียดกว่าเดิม

เรื่องน่าสนใจก็มีครับ

  • อย่างที่ Los Alamos นักวิจัยใช้ ML ไป 'ฟัง' สัญญาณสั่นสะเทือนจากภูเขาไฟ Kīlauea ที่ฮาวาย จนเจอรูปแบบการสะสม/ปลดปล่อยความเค้น (Stress Loading Cycles) ที่อาจช่วยให้พยากรณ์การปะทุหรือแผ่นดินไหวที่ตามมาได้ดีขึ้น

  • ส่วนที่ Stanford ก็มี PhaseNet กับ CRED ที่ได้ไอเดียจากวงการแพทย์และระบบสั่งงานด้วยเสียง มาช่วยตรวจจับเวลาการมาถึงของคลื่น P และ S (P/S Wave Arrival Picking) และแผ่นดินไหวขนาดเล็ก (Microearthquakes) ที่ซ่อนอยู่ในสัญญาณรบกวน (Seismic Noise) ทำให้เราไม่พลาดข้อมูลสำคัญที่เคยหลุดรอดไป

  • ในเมืองใหญ่ๆ อย่างโตเกียวหรือลอสแองเจลิส AI ก็มีส่วนช่วยสร้างแบบจำลอง/แผนที่ความเสี่ยง (Risk Modeling/Mapping) ที่แม่นยำขึ้น หรือถึงขั้นทำนายขนาดแผ่นดินไหว (Magnitude Prediction) ได้ใกล้เคียงมากๆ

4. AI ในสนามจริง: เมื่อภัยพิบัติมาเยือน

ทีนี้มาดูตอนเกิดเหตุการณ์จริงกันบ้าง ว่า AI ถูกนำมาใช้ในเหตุการณ์จริงอย่างไร?

  • ตุรกี-ซีเรีย (2023): นอกจากระบบวิเคราะห์ภาพดาวเทียมอย่าง xView2 ที่เล่าไปแล้ว ตอนนั้น AI ยังถูกใช้แกะรอยข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย เพื่อหาว่าใครต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนอยู่ตรงไหน หรือใช้แสดงข้อมูลบนแพลตฟอร์มแผนที่สถานการณ์วิกฤต (Crisis Mapping Platforms) แบบเรียลไทม์

  • ปาลู, อินโดนีเซีย (2018): หลังแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่ ทีมวิจัยใช้เทคนิค AI เช่น โครงข่ายประสาทเทียม (Artificial Neural Networks - ANN) และ Support Vector Machines (SVM) วิเคราะห์ภาพดาวเทียม สร้างเป็นแผนที่ความเสียหายจากทั้งแผ่นดินไหว สึนามิ ดินถล่ม ช่วยให้วางแผนอพยพและฟื้นฟูได้ตรงเป้า

อนาคตที่ AI จะเข้ามาช่วยได้มากกว่านี้

มองไปข้างหน้า ศักยภาพของ AI ในการรับมือแผ่นดินไหวยังไปได้อีกไกลครับลองคิดดูว่าถ้าเราผสมผสาน AI เข้ากับเซ็นเซอร์จิ๋วๆ หรืออุปกรณ์ Internet of Things (IoT) ที่กระจายอยู่ทั่วเมือง เราจะได้ข้อมูลที่ละเอียดแบบเรียลไทม์ขนาดไหน

หรือถ้ามี Quantum Computing ที่คำนวณได้เร็วสุดๆ มาช่วยสร้างแบบจำลอง รวมถึงการพัฒนา การประมวลผลแบบเรียลไทม์ (Real-time Processing) ให้เร็วยิ่งขึ้น มันอาจจะทำนายแผ่นดินไหวได้แม่นยำขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยก็เป็นได้

แต่เรื่องก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น...

ข้อจำกัดและความท้าทายของ AI

แม้ AI จะดูมีแววรุ่ง แต่การนำมาใช้จริงกับแผ่นดินไหวก็ยังมีเรื่องท้าทายอยู่ไม่น้อยครับ ทั้งเรื่องทางเทคนิค ความพร้อมของพื้นที่ และเรื่องของคน

1. ความแม่นยำและข้อมูลที่อาจลำเอียง (Data Bias)

  • ระบบเตือนภัยพลาดได้ไหม? - ได้ครับ โดยเฉพาะระบบที่ใช้เซ็นเซอร์จุดเดียว หรือการพยายามทำนายความรุนแรงจากแค่ P-wave อย่างเดียว บางทีก็มี 'สัญญาณหลอก' (False Alarms) เกิดขึ้นได้

  • การพัฒนาเทคนิค เช่น การเรียนรู้แบบกลุ่ม (Ensemble Learning) ที่รวมการตัดสินใจจาก AI หลายๆ โมเดลเข้าด้วยกัน อาจช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดปัญหานี้ได้, แต่ก็ยังเป็นความท้าทาย อย่าง ShakeAlert เองก็เคยเตือนพลาดมาแล้ว

  • ข้อมูลลำเอียง? - โมเดล AI จะเก่งแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับ ข้อมูลที่ใช้สอนมัน (Training Data)  ถ้าข้อมูลส่วนใหญ่มาจากประเทศพัฒนาแล้ว พอเอาไปใช้ในพื้นที่อื่นที่สภาพต่างกัน อาจเกิด Geographic Bias หรือปัญหา ข้อมูลไม่สมดุล (Imbalanced Data) ระหว่างแผ่นดินไหวใหญ่กับเล็ก ก็อาจทำให้การทำนายเหตุการณ์รุนแรงมีความแม่นยำน้อยลงได้

2. เทียบเทคโนโลยี:

มองภาพรวม vs เจาะลึกรายละเอียด เวลาใช้ AI ประเมินความเสียหายจากภาพถ่าย ก็มีเทคนิคหลักๆ อยู่ 2 แบบ:

  • CNN (แบบที่เล่าตอนต้น): เหมือนคนมองภาพรวมเร็วๆ เก่งเรื่องจำแนกประเภทความเสียหายคร่าวๆ ได้ไว ใช้พลังประมวลผลไม่เยอะ แต่ก็อาจจะพลาดรายละเอียดเล็กๆ หรือบอกขอบเขตเป๊ะๆ ไม่ได้

  • Semantic Segmentation (แบบที่ xView2 ใช้): อันนี้เหมือนการมองแบบเจาะลึกระดับพิกเซล ระบุขอบเขตความเสียหายได้แม่นยำกว่ามาก เหมาะกับการทำแผนที่ละเอียดๆ แต่ก็ต้องใช้เวลาและพลังประมวลผลมากกว่า และต้องการข้อมูล Training คุณภาพสูงที่มีการกำกับรายละเอียด (Annotated Data)

3. ความท้าทายในการใช้งานจริง:

  • โครงสร้างพื้นฐานพร้อมไหม? - พื้นที่ห่างไกลอาจยังไม่มีอินเทอร์เน็ตแรงๆ หรือไฟฟ้าที่เสถียรพอให้ระบบทำงานได้ตลอดเวลา

  • การพัฒนาเทคโนโลยีอย่าง Edge Computing ซึ่งช่วยให้ประมวลผลข้อมูลที่เซ็นเซอร์หรืออุปกรณ์ปลายทางได้โดยตรง อาจเป็นทางออกหนึ่งสำหรับพื้นที่ที่การเชื่อมต่อไม่เสถียร, แต่ก็ยังมีความท้าทายเรื่องงบประมาณและบำรุงรักษาอยู่ดี

  • คนใช้เป็นหรือเปล่า? - ต้องมีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้ใช้ระบบเป็น ดูแลรักษาได้ และต้องคอยอัปเดตความรู้เรื่อยๆ เพราะเทคโนโลยีมันไปเร็ว

  • จะเชื่อมกับระบบเก่าได้ยังไง? - การ เชื่อมต่อระบบ (System Integration) เอาระบบ AI ใหม่ไปต่อกับ ระบบเดิม (Legacy Systems) ที่มีอยู่ อาจไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องดูเรื่อง ความเข้ากันได้ (Interoperability) และความปลอดภัยของข้อมูลด้วย

บทสรุป: AI จาก 'ผู้ตั้งรับ' สู่ 'เพื่อนร่วมทาง' สู้ภัยแผ่นดินไหว

จะเห็นว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือไฮเทคอีกต่อไปแล้ว แต่กำลังกลายเป็น 'เพื่อนร่วมทาง' คนสำคัญที่ช่วยให้เรารับมือกับแผ่นดินไหวได้ดีขึ้นจริงๆ

ตั้งแต่การประเมินความเสียหายที่รวดเร็วเหมือนติดปีก การเตือนภัยที่ช่วยซื้อเวลาอันมีค่า ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลที่ลึกซึ้งขึ้น

แต่แน่นอนว่าทุกอย่างยังมีช่องว่างให้พัฒนา ทั้งเรื่องเทคนิค ความพร้อมของพื้นที่ และการพัฒนาคน

แล้วเราจะเดินหน้าต่ออย่างไร?

การจะทำให้ AI เป็นพลังช่วยปกป้องเราจากแผ่นดินไหวได้อย่างเต็มศักยภาพ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคนครับ ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องจริงจังกับการลงทุนวิจัยและพัฒนา ทำให้เทคโนโลยีแม่นยำขึ้น ลดความลำเอียง และใช้งานได้จริงแม้ในพื้นที่ขาดแคลน

การแบ่งปันความรู้และเทคโนโลยีระหว่างประเทศก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะนี่คือปัญหาระดับโลก ขณะเดียวกัน การให้ความรู้กับประชาชนให้เข้าใจและใช้ประโยชน์จากระบบเตือนภัยต่างๆ รวมถึงการพัฒนาคนให้พร้อมใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ก็เป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้เราทุกคนก้าวไปสู่อนาคตที่ปลอดภัยจากแผ่นดินไหวได้มากยิ่งขึ้น ด้วยพลังของ AI ครับ

แหล่งอ้างอิง

1. ShakeAlert System

2. xView2 Project

3. Stanford AI Models

4. แผ่นดินไหวตุรกี-ซีเรีย ปี 2023

5. แผ่นดินไหวฮอกไกโด ปี 2018

7. Los Alamos National Laboratory

8. Hiroshima University

9. Carnegie Mellon University

Reply

or to participate

Recommended for you

No posts found