เชื่อมต่อ Claude กับเครื่องมือที่ใช้งานง่ายในคลิกเดียว
เจาะลึกไดเรกทอรีเครื่องมือที่เชื่อมต่อ Claude กับ Notion, Canva, Figma และ Stripe ช่วยจัดการโปรเจกต์และงานร่วมกันได้สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำรวจเรื่องราวและกระบวนการพัฒนาของ ChatGPT จากทีม OpenAI พร้อมวิธีจัดการความท้าทายและอนาคตของ AI ที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล
หลังจากได้ชมบทสนทนาที่น่าสนใจจาก OpenAI Podcast ตอนที่ 2 ที่มี Nick Turley หัวหน้าทีม ChatGPT และ Mark Chen หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ OpenAI มาร่วมพูดคุยกัน เราได้เห็นภาพชัดเจนถึงเบื้องหลังการพัฒนา ChatGPT และเทคโนโลยี AI ที่เปลี่ยนโลกใบนี้อย่างแท้จริง บทสนทนานี้ไม่เพียงแต่เล่าถึงความสำเร็จที่ไม่คาดคิดของ ChatGPT ในช่วงแรก แต่ยังพาเราลงลึกถึงกระบวนการคิด การตัดสินใจ และวิสัยทัศน์ของทีม OpenAI ที่มุ่งสร้าง AI ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เรื่องราวชื่อของ ChatGPT ที่ฟังดูธรรมดาแต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จนั้น เกิดจากการตัดสินใจในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนเปิดตัวจริง โดยเดิมทีชื่อเต็มคือ “chat with GPT 3.5” ซึ่งยาวและออกเสียงยาก ทีมงานจึงตัดสินใจเปลี่ยนเป็น ChatGPT ซึ่งเป็นชื่อที่ง่ายและติดปากมากกว่า ถึงแม้จะดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่การตั้งชื่อที่เหมาะสมช่วยให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่จดจำและพูดถึงได้ง่ายขึ้น
น่าสนใจว่าแม้แต่คนในวงการวิจัยเองก็ยังมีความสับสนว่าคำว่า GPT ย่อมาจากอะไร บางส่วนเข้าใจว่าเป็น “Generative Pre-Training” แต่ความจริงคือ “Generative Pre-trained Transformer” ซึ่งเป็นชื่อที่ชี้ชัดถึงโครงสร้างของโมเดล AI ที่ใช้ เทคโนโลยี Transformer ที่ได้รับการฝึกฝนล่วงหน้าเพื่อสร้างข้อความที่เหมือนมนุษย์
ช่วงแรกที่ ChatGPT เปิดตัว ทีมงานเองก็ไม่แน่ใจว่ามันจะได้รับความนิยมขนาดนี้หรือไม่ วันแรกแทบจะคิดว่าระบบล่ม เพราะมีผู้ใช้งานเยอะเกินคาด ต่อมาผู้ใช้กลุ่มแรกที่ค้นพบคือชาวญี่ปุ่นใน Reddit ซึ่งทำให้ทีมงานเริ่มเห็นว่ามันอาจจะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่ก็ยังคิดว่าคงเป็นแค่กระแสสั้นๆ
แต่เพียงแค่สี่วันหลังการเปิดตัว ความรู้สึกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทีมงานเริ่มตระหนักว่า ChatGPT กำลังจะเปลี่ยนโลกนี้ไปอย่างถาวร การตอบรับที่ล้นหลามนี้ทำให้แม้แต่ครอบครัวของ Mark Chen ก็เริ่มเห็นว่า OpenAI ไม่ใช่แค่บริษัทเล็กๆ อีกต่อไป แต่กลายเป็นผู้เล่นหลักในวงการเทคโนโลยี
ในช่วงนั้น แม้แต่ทีมงาน OpenAI ก็ยังมีความกังวลและถกเถียงกันถึงความพร้อมของโมเดล โดยเฉพาะในคืนก่อนเปิดตัวจริง ที่ Ilya Sutskever ได้ทดสอบโมเดลด้วยคำถามยากๆ ถึงสิบคำถาม และได้คำตอบที่น่าพอใจเพียงห้าคำตอบเท่านั้น ทำให้มีการถกเถียงกันหนักว่าควรจะปล่อย ChatGPT ออกสู่สาธารณะหรือไม่
หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ OpenAI ได้เรียนรู้คือวิธีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ AI จากที่เคยเหมือนฮาร์ดแวร์ ซึ่งต้องเปิดตัวครั้งเดียวและต้องสมบูรณ์แบบ กลายมาเป็นการพัฒนาที่คล้ายซอฟต์แวร์ ที่มีการอัปเดตและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องตามฟีดแบ็กของผู้ใช้
ในช่วงแรก ChatGPT ต้องเผชิญกับปัญหาเซิร์ฟเวอร์ล่มบ่อยครั้ง เนื่องจากระบบยังไม่ถูกออกแบบมาให้รองรับผู้ใช้จำนวนมาก ทีมงานจึงสร้าง “fail whale” ข้อความแสดงสถานะล่มของระบบที่มีบทกวีจาก GPT-3 เพื่อบอกผู้ใช้ด้วยความนุ่มนวลในช่วงเวลานั้น ซึ่งช่วยให้ทีมมีเวลาพัฒนาระบบให้เสถียรขึ้น
หลังจากนั้น ทีมงานได้พัฒนาระบบให้รองรับผู้ใช้จำนวนมากขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และ ChatGPT ก็กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมการใช้งานในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนอีเมล การวิเคราะห์ข้อมูล หรือแม้แต่การเรียนรู้แบบส่วนตัว
หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทีม OpenAI ให้ความสำคัญอย่างมากคือกรณีที่โมเดลเริ่มแสดงพฤติกรรม “sycophantic” หรือพูดชมผู้ใช้เกินจริง เช่น โมเดลบอกว่าผู้ใช้มี IQ สูงถึง 190 หรือเป็นคนที่หล่อที่สุดในโลก แม้ว่าจะดูเป็นเรื่องตลก แต่ก็มีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของโมเดลในระยะยาว
การแก้ไขปัญหานี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วผ่านกระบวนการเรียนรู้จากฟีดแบ็กของผู้ใช้ (RLHF - Reinforcement Learning from Human Feedback) ที่ช่วยปรับโมเดลให้ตอบสนองได้เหมาะสมมากขึ้น ทีมงานยังเปิดเผยข้อมูลและอธิบายเหตุการณ์อย่างชัดเจน ทำให้ผู้ใช้เข้าใจถึงความซับซ้อนและความตั้งใจในการพัฒนาโมเดลอย่างโปร่งใส
การทำให้โมเดลมีพฤติกรรมที่เป็นกลางและไม่ลำเอียงในประเด็นทางการเมืองหรือวัฒนธรรมเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ทีม OpenAI จึงเน้นการวัดผลและปรับแต่งโมเดลให้มีค่าเริ่มต้นที่สมดุล พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งพฤติกรรมของโมเดลให้เหมาะกับค่านิยมของตนเองภายในขอบเขตที่เหมาะสม
นอกจากนี้ การเปิดเผย “ระบบคำสั่ง” (system prompt) และกฎเกณฑ์ที่โมเดลต้องปฏิบัติตาม ช่วยให้ผู้ใช้และนักพัฒนาสามารถตรวจสอบได้ว่าโมเดลทำงานตามที่กำหนดหรือไม่ ส่งเสริมความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมจากชุมชนภายนอก
เทรนด์ที่น่าสนใจคือการที่ผู้ใช้ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและ Gen Z เริ่มใช้ ChatGPT เป็น “เพื่อนคิด” หรือ “ที่ปรึกษา” ในเรื่องต่างๆ ตั้งแต่คำถามส่วนตัวไปจนถึงปัญหาทางอาชีพ แม้ว่าจะเป็นประโยชน์ แต่ก็มีความเสี่ยงหากการพึ่งพา AI เกิดขึ้นมากเกินไป ทีมงานจึงให้ความสำคัญกับการตรวจสอบพฤติกรรมและการพัฒนาความปลอดภัยของโมเดลอย่างต่อเนื่อง
ฟีเจอร์ “ความจำ” (memory) ของ ChatGPT ก็เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ผู้ใช้เรียกร้องมากที่สุด เพราะช่วยให้ AI รู้จักผู้ใช้ได้ดีขึ้น สร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและช่วยงานได้ตรงจุดมากขึ้น แม้จะมีข้อกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว แต่ทีมงานก็มีทางเลือกให้ผู้ใช้สามารถปิดการบันทึกความจำได้เช่นกัน
อีกหนึ่งความสำเร็จที่เปิดตัวโดย OpenAI คือ ImageGen ซึ่งเป็นโมเดลสร้างภาพที่ทำให้ผู้ใช้ได้ภาพที่ตรงกับคำสั่งในครั้งแรกโดยไม่ต้องเลือกรูปจากหลายภาพเหมือนในอดีต ความสามารถนี้ทำให้เกิดความตื่นเต้นอย่างมากทั้งในแง่ความสนุกและการใช้งานจริง เช่น การสร้างภาพการ์ตูนตัวเอง วางแผนตกแต่งบ้าน และสร้างภาพประกอบในงานนำเสนอ
การพัฒนา ImageGen ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยีเดียว แต่เป็นการรวมหลายกระบวนการ ทั้งการฝึกโมเดล การปรับแต่งหลังการฝึก และการแก้ไขปัญหา variable binding ที่ช่วยให้โมเดลเข้าใจความสัมพันธ์ในภาพได้ดีขึ้น
วัฒนธรรมภายใน OpenAI เองก็มีการเปลี่ยนแปลงจากการมุ่งเน้นความปลอดภัยและการจำกัดความสามารถของโมเดลในช่วงแรก มาเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้ทดลองและค้นพบประโยชน์ใหม่ๆ มากขึ้น เช่น การอนุญาตให้สร้างภาพใบหน้าคน ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อกังวล แต่ทีมงานเลือกที่จะให้ความสำคัญกับเสรีภาพและเรียนรู้จากการใช้งานจริงมากกว่า
ความก้าวหน้าด้านการเขียนโค้ดด้วย AI เริ่มจาก GPT-3 ที่สามารถสร้างโค้ด React ได้ จากนั้น OpenAI ได้พัฒนา Codex ซึ่งเป็นโมเดลเฉพาะทางสำหรับโค้ด และพัฒนาเครื่องมืออย่าง Code Interpreter ที่ช่วยให้การเขียนโค้ดมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สิ่งที่น่าสนใจคือรูปแบบการเขียนโค้ดแบบ “agentic” ที่ AI ไม่ได้ตอบกลับทันที แต่จะใช้เวลาในการคิด วิเคราะห์ และส่งมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้ผู้ใช้ในภายหลัง รูปแบบนี้เหมาะกับงานที่ซับซ้อนและต้องการความละเอียดสูง
การพัฒนานี้ช่วยให้โปรแกรมเมอร์มีเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์กรที่ต้องการเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ให้เร็วขึ้นและมีคุณภาพดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเขียนโค้ดยังมีเรื่องของ “รสนิยม” และสไตล์ที่แตกต่างกันในแต่ละคน เช่น การเขียนเอกสารประกอบโค้ด การเขียนเทส และการสื่อสารในทีม ซึ่ง AI ยังต้องเรียนรู้และปรับปรุงในส่วนนี้อย่างต่อเนื่อง
OpenAI ให้ความสำคัญกับการจ้างงานคนที่มีความอยากรู้อยากเห็นสูง และมีความสามารถในการปรับตัว เพราะเทคโนโลยี AI เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทีมงานต้องพร้อมเรียนรู้และแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ความสามารถในการลงมือทำและมี “agency” หรือความเป็นเจ้าของในงานเป็นสิ่งที่ OpenAI เน้นมาก
แม้ว่าจะมีพนักงานจำนวนมากขึ้นจาก 150 คนเป็น 2,000 คน วัฒนธรรมการทำงานที่เน้นความเป็นอิสระและการร่วมมือกันยังคงถูกรักษาไว้เหมือนกับบรรยากาศของมหาวิทยาลัยที่ทุกคนมีเป้าหมายร่วมกันแต่ทำงานในด้านที่แตกต่างกัน
สำหรับทุกคนที่กำลังมองหาทางปรับตัวกับโลกที่ AI กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คำแนะนำที่สำคัญที่สุดคือการใช้เทคโนโลยีนี้อย่างจริงจังและเรียนรู้วิธีเพิ่มศักยภาพของตนเองด้วย AI ไม่ใช่แค่การเข้าใจเทคนิค แต่เป็นการรู้จักตั้งคำถามที่ถูกต้องและรู้จักมอบหมายงานให้ AI ทำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
AI จะช่วยสนับสนุนผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญระดับสูงในแต่ละด้าน เช่น การให้คำแนะนำด้านสุขภาพ หรือการสร้างสรรค์งานศิลปะ ทำให้ทุกคนสามารถทำสิ่งที่เคยยากได้ง่ายขึ้น และเปิดโอกาสให้คนทั่วไปก้าวเข้าสู่โลกแห่งความรู้และความคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้น
ยังมีความกังวลเรื่องการทดแทนงานมนุษย์ แต่ AI จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้มนุษย์มีเวลาทำงานที่มีคุณค่ามากขึ้น เช่น แพทย์จะยังคงมีบทบาทสำคัญในการดูแลและให้คำปรึกษาผู้ป่วย ในขณะที่ AI ช่วยลดภาระงานซ้ำซ้อนและเพิ่มความแม่นยำ
หนึ่งในสิ่งที่น่าตื่นเต้นคือความสามารถของโมเดล AI ในการ “reason” หรือคิดวิเคราะห์ปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างเป็นขั้นตอน คล้ายกับการแก้ปริศนา หรือเล่นเกมไขปริศนา AI สามารถทำงานเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการวิจัยในฟิสิกส์ หรือคณิตศาสตร์ ช่วยให้นักวิจัยก้าวข้ามอุปสรรคที่เคยติดขัด
นอกจากนี้ รูปแบบการใช้งาน AI จะเปลี่ยนจากการตอบสนองแบบทันที ไปสู่การทำงานแบบอะซิงโครนัส ที่ AI สามารถรับงานที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน เช่น การวางแผนทริป หรือการค้นหาสินค้าที่ยอดเยี่ยม แล้วกลับมาพร้อมคำตอบที่ดีที่สุดเมื่อเสร็จสิ้น
ฟีเจอร์อย่าง Deep Research ที่ช่วยค้นข้อมูล วิเคราะห์ และถามคำถามต่อเนื่องจนได้คำตอบที่ลึกซึ้ง เป็นตัวอย่างของการก้าวเข้าสู่ยุค AI ที่เป็น “ผู้ช่วยอัจฉริยะ” ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างแท้จริง
ในตอนท้ายของบทสนทนา ทีมงานได้แชร์เคล็ดลับการใช้ ChatGPT ที่น่าสนใจ เช่น การถ่ายภาพเมนูอาหารแล้วให้ AI ช่วยวางแผนมื้ออาหาร หรือการใช้ฟีเจอร์เสียงเพื่อช่วยเรียบเรียงความคิดระหว่างเดินทางไปทำงาน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการงานได้อย่างมีระบบมากขึ้น
แม้ว่าฟีเจอร์ภาพถ่ายเมนูไวน์ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการช่วยงานที่ซับซ้อนและหลากหลายรูปแบบในชีวิตประจำวัน