Skip to content
2 min read Semantic Segmentation

AI พลิกเกมสู้แผ่นดินไหว: รวมกรณีศึกษาความสำเร็จจากทั่วโลก

AI พลิกเกมสู้แผ่นดินไหว : รวมกรณีศึกษาจริงและเทคโนโลยีสุดล้ำ ตั้งแต่การประเมินความเสียหายผ่านภาพถ่ายดาวเทียม ไปจนถึงระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่ซื้อเวลาช่วยชีวิตได้ทันที

 

แผ่นดินไหว เป็นภัยธรรมชาติที่เราแทบจะคาดเดาอะไรไม่ได้เลย แต่กลับสร้างความเสียหายรุนแรงทั้งชีวิตและทรัพย์สินได้ในพริบตา

แต่รู้ไหมครับว่า ในยุคที่ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence - AI) ฉลาดขึ้นทุกวัน เทคโนโลยีนี้กำลังเข้ามาเปลี่ยนวิธีที่เรารับมือกับแผ่นดินไหวไปอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยทำได้แค่รอให้เกิดเหตุแล้วค่อยแก้ไข ตอนนี้ AI กำลังช่วยให้เรา 'ตั้งรับเชิงรุก' ได้อย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน

ผมก็เป็นหนึ่งในผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว วิ่งหนีตายออกจากตึกสูงเช่นเดียวกับอีกหลายคน ในบ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 และด้วยความอยากรู้ อยากเห็น ในฐานะที่ทำงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง AI เลยลองค้นคว้าเพิ่มเติมดูว่า AI มันมีประโยชน์และช่วยอะไรเกี่ยวกับภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวได้บ้าง

บทความนี้จะพาไปดูเคสจริงจากทั่วโลกว่า AI ไม่ใช่แค่ตัวช่วยเสริม แต่กำลังกลายเป็น 'หัวใจ' สำคัญในการปกป้องเราจากภัยพิบัติครั้งใหญ่นี้ได้อย่างไร


1. ดวงตาดิจิทัล: AI ส่องความเสียหายหลังแผ่นดินไหว

ลองนึกภาพตามนะครับ แผ่นดินไหวใหญ่เพิ่งสงบลง สิ่งแรกที่ต้องรู้คือ 'เสียหายแค่ไหน' เพื่อจะได้รีบส่งความช่วยเหลือไปให้ถูกจุด นี่แหละครับคือสิ่งที่ AI เก่ง

ระบบประเมินความเสียหายยุคใหม่ใช้สิ่งที่เรียกว่า โครงข่ายประสาทเทียมแบบคอนโวลูชัน (Convolutional Neural Network - CNN) ซึ่งมีความสามารถสูงในการวิเคราะห์ภาพ (Image Analysis)

ทำงานคล้ายๆ 'ดวงตาดิจิทัล' อัจฉริยะ มันสแกนภาพถ่ายดาวเทียมหรือภาพทางอากาศ แล้วชี้เป้าความเสียหายของตึก ถนน หรือแม้แต่ร่องรอยดินถล่มได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมาก

Islahiye, Turkey - รูปถ่ายจากดาวเทียมโดยบริษัท Maxar Technologies  (ซ้าย) และรูปจาก xView2โดย UC Berkeley/Defense Innovation Unit/Microsoft (ขวา)

(ที่มา : MIT Technology Review)

AI จึงมีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้ระบบประเมินความเสียหายหลังเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ (Damage Assessment Systems) ทำงานได้ฉลาดมากขึ้น


2. เสียงเตือนจาก AI: ผู้พิทักษ์ก่อนภัยมาถึง

ถ้าการประเมินความเสียหายคือการ 'ตั้งรับ' ระบบเตือนภัยล่วงหน้า หรือ Early Warning Systems ก็เปรียบเหมือน 'ผู้พิทักษ์ชีวิต' ด่านหน้าเลยครับ

AI ในระบบนี้ทำหน้าที่เหมือนหูทิพย์ คอย 'ฟัง' สัญญาณแรกสุดของแผ่นดินไหว (คือ คลื่นปฐมภูมิ หรือ P-wave) ซึ่งเดินทางเร็วกว่า คลื่นทุติยภูมิ (S-wave) และ คลื่นพื้นผิว (Surface Waves) ที่เป็นตัวการสร้างความเสียหายรุนแรง พอจับสัญญาณได้ปุ๊บ ระบบ AI จะรีบคำนวณตำแหน่งศูนย์กลาง (Epicenter), ขนาด (Magnitude) และพื้นที่เสี่ยง แล้วส่งเสียงเตือนทันที


3. ถอดรหัสแผ่นดินไหว: เมื่อ AI อ่านใจโลก

ข้อมูลคลื่นไหวสะเทือน (Seismic Data) มันซับซ้อนครับ การวิเคราะห์แบบเดิมๆ อาจมองข้ามสัญญาณสำคัญไป

แต่ AI โดยเฉพาะเทคนิค Machine Learning (ML) ที่เก่งเรื่องการหา 'รูปแบบ' (Patterns) ที่ซ่อนอยู่ กำลังเข้ามาช่วย 'ถอดรหัส' ข้อมูลพวกนี้ได้ลึกซึ้งขึ้น

มันช่วยให้นักวิทยาศาสตร์มองเห็นสัญญาณบอกเหตุล่วงหน้า (Precursor Signals) ที่อาจซ่อนอยู่ ทำนายรูปแบบการเกิด หรือแม้แต่ใช้ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นอย่าง เรดาร์ช่องรับแสงสังเคราะห์ (Synthetic Aperture Radar - SAR) หรือโดรนติดเซ็นเซอร์เพื่อสร้างแผนที่แผ่นดินไหวที่ละเอียดกว่าเดิม

เรื่องน่าสนใจก็มีครับ


4. AI ในสนามจริง: เมื่อภัยพิบัติมาเยือน

ทีนี้มาดูตอนเกิดเหตุการณ์จริงกันบ้าง ว่า AI ถูกนำมาใช้ในเหตุการณ์จริงอย่างไร?


อนาคตที่ AI จะเข้ามาช่วยได้มากกว่านี้

มองไปข้างหน้า ศักยภาพของ AI ในการรับมือแผ่นดินไหวยังไปได้อีกไกลครับ
ลองคิดดูว่าถ้าเราผสมผสาน AI เข้ากับเซ็นเซอร์จิ๋วๆ หรืออุปกรณ์ Internet of Things (IoT) ที่กระจายอยู่ทั่วเมือง เราจะได้ข้อมูลที่ละเอียดแบบเรียลไทม์ขนาดไหน

หรือถ้ามี Quantum Computing ที่คำนวณได้เร็วสุดๆ มาช่วยสร้างแบบจำลอง รวมถึงการพัฒนา การประมวลผลแบบเรียลไทม์ (Real-time Processing) ให้เร็วยิ่งขึ้น มันอาจจะทำนายแผ่นดินไหวได้แม่นยำขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยก็เป็นได้

แต่เรื่องก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น...


ข้อจำกัดและความท้าทายของ AI

แม้ AI จะดูมีแววรุ่ง แต่การนำมาใช้จริงกับแผ่นดินไหวก็ยังมีเรื่องท้าทายอยู่ไม่น้อยครับ ทั้งเรื่องทางเทคนิค ความพร้อมของพื้นที่ และเรื่องของคน

1. ความแม่นยำและข้อมูลที่อาจลำเอียง (Data Bias)

2. เทียบเทคโนโลยี:

มองภาพรวม vs เจาะลึกรายละเอียด เวลาใช้ AI ประเมินความเสียหายจากภาพถ่าย ก็มีเทคนิคหลักๆ อยู่ 2 แบบ:

3. ความท้าทายในการใช้งานจริง:


บทสรุป: AI จาก 'ผู้ตั้งรับ' สู่ 'เพื่อนร่วมทาง' สู้ภัยแผ่นดินไหว

จะเห็นว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือไฮเทคอีกต่อไปแล้ว แต่กำลังกลายเป็น 'เพื่อนร่วมทาง' คนสำคัญที่ช่วยให้เรารับมือกับแผ่นดินไหวได้ดีขึ้นจริงๆ

ตั้งแต่การประเมินความเสียหายที่รวดเร็วเหมือนติดปีก การเตือนภัยที่ช่วยซื้อเวลาอันมีค่า ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลที่ลึกซึ้งขึ้น

แต่แน่นอนว่าทุกอย่างยังมีช่องว่างให้พัฒนา ทั้งเรื่องเทคนิค ความพร้อมของพื้นที่ และการพัฒนาคน

แล้วเราจะเดินหน้าต่ออย่างไร?

การจะทำให้ AI เป็นพลังช่วยปกป้องเราจากแผ่นดินไหวได้อย่างเต็มศักยภาพ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคนครับ ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องจริงจังกับการลงทุนวิจัยและพัฒนา ทำให้เทคโนโลยีแม่นยำขึ้น ลดความลำเอียง และใช้งานได้จริงแม้ในพื้นที่ขาดแคลน

การแบ่งปันความรู้และเทคโนโลยีระหว่างประเทศก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะนี่คือปัญหาระดับโลก ขณะเดียวกัน การให้ความรู้กับประชาชนให้เข้าใจและใช้ประโยชน์จากระบบเตือนภัยต่างๆ รวมถึงการพัฒนาคนให้พร้อมใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ก็เป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้เราทุกคนก้าวไปสู่อนาคตที่ปลอดภัยจากแผ่นดินไหวได้มากยิ่งขึ้น ด้วยพลังของ AI ครับ


แหล่งอ้างอิง

1. ShakeAlert System

 

2. xView2 Project

 

3. Stanford AI Models

 

4. แผ่นดินไหวตุรกี-ซีเรีย ปี 2023

 

5. แผ่นดินไหวฮอกไกโด ปี 2018

 

7. Los Alamos National Laboratory

 

8. Hiroshima University

 

9. Carnegie Mellon University