เรียนรู้วิธีใช้ ChatGPT สร้างภาพกราฟิกที่สอดคล้องกับแบรนด์
เรียนรู้วิธีใช้ AI สร้างภาพกราฟิกสอดคล้องแบรนด์ผ่าน ChatGPT ช่วยลดต้นทุนและเวลา พร้อมเพิ่มความสร้างสรรค์สำหรับทุกธุรกิจ แม้ไม่มีทีมดีไซน์ก็สร้างภาพมืออาชีพได้ทันที
เจาะลึกแนวคิด Agentic AI พร้อมอธิบายความแตกต่างระหว่าง Agentic Workflow และ AI Agent พร้อมตัวอย่างและแนวทางใช้งานในแอปพลิเคชันจริง เหมาะสำหรับนักพัฒนาและผู้สนใจเทคโนโลยี AI
ในยุคที่ AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการซอฟต์แวร์และธุรกิจ การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Agentic AI กับ Agentic Workflow จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักพัฒนาและผู้ที่สนใจเทคโนโลยีนี้ บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับแนวคิด Agentic AI โดยอ้างอิงจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ Google Cloud Tech ที่ได้อธิบายความหมายของ “agentic” พร้อมตัวอย่างและการใช้งานจริง เพื่อให้เราเข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
คำว่า “agentic” มาจากคำว่า agent หมายถึงตัวแทนหรือผู้ที่มีความสามารถในการตัดสินใจและกระทำบางอย่างได้อย่างอิสระ ในบริบทของ AI หมายถึงระบบที่สามารถทำงานหรือแก้ไขปัญหาโดยใช้ความไม่แน่นอน (nondeterminism) และโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models – LLM) เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกันในแต่ละครั้งที่ทำงาน
โดยทั่วไป Agentic AI จะมีพฤติกรรมที่ไม่ตายตัว และสามารถเชื่อมโยงงานหลายๆ อย่างเข้าด้วยกันในรูปแบบของ workflow หรือระบบตัวแทน (agent) ที่สามารถตัดสินใจและเลือกทำงานในลำดับที่เหมาะสมเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้
สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนคือความแตกต่างระหว่าง AI Agent และ Agentic Workflow โดยสรุปคือ
ความแตกต่างนี้สำคัญมาก เพราะการเลือกใช้ Agentic Workflow หรือ AI Agent ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนและความต้องการของงานนั้นๆ ไม่ใช่ทุกงานที่ต้องใช้ AI Agent เพราะบางงานที่มีขั้นตอนชัดเจนและผลลัพธ์คาดเดาได้ดี Agentic Workflow ก็สามารถทำได้ดีและปลอดภัยกว่า
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เรามาดูตัวอย่างกัน
สมมติว่ามีระบบประมวลผลใบแจ้งหนี้ (invoice processing) โดย workflow จะใช้ LLM ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เพื่อวิเคราะห์ใบแจ้งหนี้ สกัดข้อมูลสำคัญ แล้วนำข้อมูลนั้นไปกรอกลงในฟอร์ม จากนั้นผู้ใช้จะตรวจสอบและอัปโหลดข้อมูลเข้าสู่ระบบการประมวลผลต่อไป ในกรณีนี้ Workflow ยังต้องการการตรวจสอบจากมนุษย์และกระบวนการเป็นไปอย่างคาดเดาได้
ตัวอย่างของ AI Agent คือการมอบหมายเป้าหมายให้ระบบว่า “ฉันต้องการสร้างเว็บไซต์เกมงู” จากนั้น agent จะวางแผนงาน กำหนดลำดับขั้นตอน และดำเนินการสร้างเว็บไซต์นั้นอย่างอัตโนมัติ รวมถึงการทบทวนตนเอง (reflection) เพื่อให้แน่ใจว่างานที่ทำสอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งไว้โดยไม่ต้องมีมนุษย์เข้ามาควบคุมทุกขั้นตอน
คำถามที่สำคัญคือ เราควรเลือกใช้ Agentic Workflow หรือ AI Agent เมื่อไหร่?
คำตอบคือ ไม่ใช่ทุกงานที่ต้องใช้ AI Agent เพราะหลายงานที่คนพยายามสร้างนั้น Agentic Workflow ก็เพียงพอและเหมาะสมกว่า โดยเฉพาะงานที่มีขั้นตอนชัดเจนและผลลัพธ์ต้องแม่นยำ เช่น การประมวลผลข้อมูล การสรุปข้อมูล หรือการทำงานที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูง
ในทางกลับกัน AI Agent เหมาะกับงานที่ต้องการความอิสระในการตัดสินใจ เช่น งานที่มีเป้าหมายชัดเจนแต่ขั้นตอนการทำงานอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ หรือในธุรกิจที่ต้องการลดการแทรกแซงของมนุษย์และให้ระบบตัดสินใจเองในบางเรื่อง
อย่างไรก็ตาม การสร้าง AI Agent ต้องคำนึงถึงความเสี่ยง เช่น Agent อาจตัดสินใจแตกต่างจากมนุษย์ในบางสถานการณ์ ซึ่งอาจส่งผลเสียได้ ดังนั้นในงานที่ต้องการความแม่นยำและควบคุมได้สูง อาจเลือกใช้ Agentic Workflow ที่มีมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ (Human-in-the-loop) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
Agentic AI เป็นแนวคิดที่ช่วยให้ระบบ AI มีความสามารถในการตัดสินใจและดำเนินงานได้อย่างอิสระมากขึ้น แตกต่างจาก workflow ที่มีลักษณะค่อนข้างตายตัว การเลือกใช้ระหว่าง Agentic Workflow หรือ AI Agent ขึ้นอยู่กับลักษณะงาน ความซับซ้อน และความเสี่ยงที่ยอมรับได้
การเข้าใจความแตกต่างนี้สำคัญมากเพื่อให้สามารถออกแบบระบบ AI ที่เหมาะสมกับเป้าหมายและบริบทการใช้งาน ไม่เพียงแค่ทำให้ระบบทำงานได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้สามารถควบคุมและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สุดท้าย การเรียนรู้ผ่านตัวอย่างโค้ดและการทดลองจริงจะช่วยให้แนวคิดเหล่านี้กลายเป็นทักษะที่นำไปใช้ได้จริง และเปิดโอกาสให้พัฒนาแอปพลิเคชัน AI ที่ตอบโจทย์ธุรกิจและผู้ใช้ได้อย่างแท้จริง
Agentic AI ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีใหม่ที่น่าตื่นเต้น แต่เป็นกรอบความคิดที่เปลี่ยนวิธีการพัฒนาและใช้ AI ในโลกแห่งความเป็นจริง การแยกแยะระหว่าง Agentic Workflow กับ AI Agent ช่วยให้เราสามารถวางแผนและออกแบบระบบ AI ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในหลายกรณี Agentic Workflow คือคำตอบที่ดีเพราะให้ความสมดุลระหว่างความแม่นยำและความยืดหยุ่น ในขณะที่ AI Agent เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความเป็นอิสระและสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนได้อย่างมีประสิทธิผล
การนำ Agentic AI ไปใช้จึงต้องเริ่มจากการวิเคราะห์ความต้องการและข้อจำกัดของงานอย่างรอบคอบ พร้อมทั้งเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น การเรียนรู้และทดลองผ่านโค้ดตัวอย่างจะช่วยให้ผู้พัฒนาเข้าใจและนำไปใช้ได้จริง
ด้วยความรู้และเครื่องมือที่เหมาะสม Agentic AI จะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่ทรงพลังและใช้งานได้หลากหลายมากขึ้นในอนาคต